คิดอย่างไรให้ได้นวัตกรรมตามแนวทางของหลักการทรงงานนั้น ผู้เขียนขอนำเสนอทฤษฎีซาแปะ (SAPAE) สำหรับเป็นพื้นฐานของระบบการคิดนวัตกรรมที่มีลักษณะเป็นวงจรให้เกิดนวัตกรรมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ใพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงใช้ทฤษฎีซาแปะนี้ในการทรงงานตลอดระยะเวลาที่พระองค์ทรงครองราชย์ เพื่อการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร และพัฒนางานให้เกิดนวัตกรรมที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาในแต่ละพื้นที่
คำว่า “ซาแปะ” มาจากตัวย่อภาษาอังกฤษ คือ SAPAE เป็นวงจรแห่งการทำงานที่ช่วยให้เกิดการศึกษาอย่างเป็นระบบ มีลำดับ มีขั้นมีตอน คือ “ทำตามลำดับขั้น” อย่างบูรณาการ เพื่อให้การทำงานประสบผลสำเร็จ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ
S = Survey/การสำรวจ
A = Analysis/การวิเคราะห์
P = Planning/การวางแผน
A = Action/การปฏิบัติ
E = Evaluation/การประเมินผล
จุดเริ่มต้นของการใช้ทฤษฎีนี้ คือ เริ่มจากการสำรวจสิ่งที่ต้องการศึกษา เช่น สภาพปัญหา, ปัจจัยของความสำเร็จ เป็นต้น โดยนำปัญหามาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจ กำหนดแนวทางเพื่อวางแผนและสร้างเครื่องมือในการแก้ปัญหา ปรับปรุง แก้ไข และพัฒนา ลงมือปฏิบัติเพื่อทดสอบและประเมินผลในทุกขั้นตอน อาจใช้กระบวนการมีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็น ข้อวิพากษ์วิจารณ์ และข้อเสนอแนะเพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาและนำกลับมาใช้อีก โดยประเมินผลทุกครั้งจนแน่ใจว่า กระบวนการทดลองหรือวิจัยนี้มีคุณภาพ น่าเชื่อถือได้
ทฤษฎี SAPAE ของในหลวงรัชกาลที่ 9 นี้ มีความละเอียดอ่อนในรายละเอียดและสอดคล้องกับสภาพการทำงานจริงมากกว่าทฤษฎีวงกลมเดรมมิ่ง หรือ PDCA ที่เริ่มจากการวางแผน (P=Plan) เลย โดยขาดการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลตามความเป็นจริงก่อน ทั้งนี้ รัฐบาล ภาคเอกชน สมาคม ภาคี มูลนิธิต่างๆ สามารถนำหลัก SAPAE ไปประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดผลสำเร็จได้ตามวัตถุประสงค์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนประชาชนทั่วทุกท้องถิ่นไทยไม่ว่าพื้นที่นั้นจะทุรกันดารแค่ไหน ลำบากอย่างไร การทรงงานอย่างหนักของพระองค์ท่านทำให้ทราบข้อมูลและเข้าพระราชหฤทัยคนไทยและพื้นแผ่นดินไทยทุกแง่ทุกมุมอย่างลึกซึ้ง ทรงปฏิบัติเป็นแบบอย่างในการพัฒนาที่ให้ความสำคัญเรื่อง “พัฒนาคน” โดยพระราชดำริที่จะพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎรให้เกิดความ “พออยู่พอกิน” ด้วยการ “พึ่งพาตนเอง” อย่างมั่นคงซึ่งเป็นการ “พัฒนาอย่างยั่งยืน” ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลตามหลัก “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ปรากฏผลเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศอย่างชัดเจนโดยตลอดมา และทุกครั้งที่พระองค์ท่านทรงงานจะรับฟังการถวายรายงานจากผู้เกี่ยวข้องฝ่ายต่างๆ ทรงมีการบันทึกข้อมูล และทรงใช้แผนที่ประกอบโดยบันทึกข้อความต่างๆ ไว้เป็นข้อมูลสำคัญในการนำมาวิเคราะห์วินิจฉัยก่อนดำเนินการใดๆ เรื่องใดที่ไม่ทรงทราบก็ทรงเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาถวายข้อมูลเพิ่มเติมเป็นการสำรวจข้อเท็จจริงจากการเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง”
จากการถวายคำแนะนำของผู้ที่เกี่ยวข้อง คือ การสำรวจ (survey) ทรงวิเคราะห์ (analysis) ข้อมูลเหล่านั้นหลากหลายแง่มุม เมื่อทรงเห็นความเป็นไปได้ (possibility) แล้วจึงวางแผน (planning) และนำไปทดลองปฏิบัติด้วยการเริ่มต้นจากสิ่งที่เล็กก่อน (action) ทรงมีการติดตามทบทวนและ ประเมินผลโครงการทดลองนั้นเป็นระยะๆ (evaluation) นำผลที่ได้มาเป็นข้อมูลเพื่อทำงานทดลอง ทรงทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อเนื่องกัน เมื่อทรงเห็นว่าเกิดประโยชน์จริง จึงพระราชทานแนวทางนั้นให้ประชาชนชาวไทยนำไปใช้แก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน และประเทศชาติ ทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย ทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก ทำให้ปัญหาและความทุกข์ยากกลายเป็นผลผลิตรายได้และความสุขเป็นที่กล่าวขานถึงพระอัจฉริยภาพ และพระปรีชาสามารถไปทั่วทุกมุมโลก สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) จึงได้สรุปหลักการ วิธีคิด วิธีทรงงานจากบทความในหนังสือ “กษัตริย์ – นักพัฒนา” มาใช้ให้ข้าราชการฝ่ายปกครองในฐานะที่เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จักได้น้อมนำไปปรับใช้ในการปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
หลักการทรงงานของพระองค์ท่านเป็นหลักการทรงงานที่มีประสิทธิภาพเรียกว่า SAPAE เป็นวงจรแห่งการทำ งานให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะเห็นได้จากการที่พระองค์ท่านทรงสร้างโครงการสำคัญต่างๆ มากกว่า 3,000 โครงการมอบแก่ประชาชนของพระองค์ท่าน โดยแบ่งฐานข้อมูลออกเป็นกลุ่มหลักๆ เช่น 1) โครงการหลวง 2) โครงการตามพระราชดำริ 3) โครงการในพระบรมราชดำริ 4) โครงการตามพระราชประสงค์ โดยที่พระองค์ท่านทรงจัดระบบการบริหารจัดการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนด้วยความละเอียดรอบคอบ ด้วยกระบวนการ 5 ขั้นตอน ดังนี้
- สำรวจข้อมูล (survey) เกี่ยวกับปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน พระองค์ท่านจะศึกษาจากเอกสารและแผนที่ต่างๆ ที่มีอยู่เพื่อให้ทราบสภาพในท้องถิ่นนั้นๆ อย่างละเอียดก่อนเสมอ หลังจากนั้น พระองค์ท่านจะลงพื้นที่จริงด้วยพระองค์เอง เพื่อสอบถามประชาชนถึงปัญหา ความเดือดร้อนที่ได้รับจากการประกอบอาชีพ ชีวิตความเป็นอยู่ ดิน ฟ้า อากาศ แหล่งน้ำ เพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
- วิเคราะห์ข้อมูล (analysis) พระองค์ท่านทรงปรึกษาเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ถึงความเป็นไปได้และความเหมาะสมพร้อมทั้งทรงคำนวณ วิเคราะห์ถึงประโยชน์ความคุ้มค่า
- จัดทำโครงการ (planning) เมื่อพิจารณาความเป็นไปได้สูง ได้รับประโยชน์คุ้มค่า จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำโครงร่าง แล้วนำไปพิจารณา กลั่นกรองตามหลักวิชาการอีกครั้ง
- ดำเนินงานตามโครงการ (action) เมื่อโครงการผ่านการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มลงมือดำเนินงานตามโครงการทันทีพร้อมกำหนดตัวบุคคลเพื่อทำหน้าที่ กำกับดูแลอย่างชัดเจน
- ติดตามประเมินผล (evaluation) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะติดตามประเมินผล พร้อมรายงานผลเป็นระยะๆ แต่ที่สำคัญคือทุกครั้งที่มีโอกาส พระองค์ท่านจะเสด็จไปทอดพระเนตรความก้าวหน้า และติดตามผลงานต่างๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยด้วยพระองค์เอง หากมีปัญหาอุปสรรคใด จะทรงชี้แนะแนวทางแก้ปัญหานั้นๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีทุกครั้ง พระองค์ท่านทรงมุ่งเน้น “การพัฒนาคน” ซึ่งจะต้องเริ่มจากการสร้างรากฐานให้มั่นคง ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคล ครัวเรือน หมู่บ้าน ชุมชน ให้มีความเข้มแข็ง มีโอกาสเตรียมตัว ตั้งตัว พร้อมจะรับการพัฒนาเสียก่อน แล้วจึงค่อยนำความเจริญก้าวหน้าจากสังคมภายนอกเข้าไปพัฒนาคนภายในหมู่บ้าน ชุมชนเป็นลำดับต่อไป โดยต้องคำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อให้ราษฎรเหล่านั้นพึ่งตนเองได้และสามารถออกมาสู่สังคมภายนอกได้อย่างไม่ลำบาก
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดชทรงมีความรักและพอพระราชหฤทัยจะทรงงานเหล่านั้นให้พบความสำเร็จ (ฉันทะ) ทรงมีความรักประชาชนและแผ่นดินอย่างลึกซึ้ง ทรงมุ่งมั่นแสวงหาวิธีที่จะทำให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทรงวิริยะ อุตสาหะ พยายาม ฝักใฝ่ใคร่ครวญ ทบทวน ไตร่ตรองอยู่เป็นนิจ